Store Of value คืออะไร?

2025-07-17

Store of Value คือแหล่งเก็บมูลค่า สินค้า สื่อกลางการแลกเปลี่ยน หรือ ทรัพย์สิน ใดๆ ที่มีความสามารถในการรักษาอำนาจซื้อไว้ ในอนาคต

ย้อนกลับไปในยุคที่มนุษย์เริ่มต้นการแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างกันโดยไม่มีตัวกลาง (หรือที่เรียกว่า “ยุค Barter”) ระบบการแลกเปลี่ยนในลักษณะนี้มักประสบปัญหาเกี่ยวกับปริมาณและชนิดของสินค้าที่ไม่สามารถจับคู่ความต้องการได้อย่างลงตัว

ด้วยข้อจำกัดดังกล่าว ในยุคต่อมามนุษย์จึงได้เริ่มแสวงหาวัตถุบางอย่างที่สามารถทำหน้าที่เป็น สื่อกลางในการแลกเปลี่ยน โดยวัตถุนั้นจะต้องได้รับการยอมรับจากสังคมว่า มีมูลค่า เพียงพอที่จะใช้แลกเปลี่ยนกับสินค้าและบริการอื่น ๆ ได้อย่างเป็นธรรมและแพร่หลาย

ในแต่ละยุคสมัยและแต่ละดินแดนทั่วโลก มนุษย์ได้มีการนำวัตถุหรือทรัพยากรหลากหลายประเภทมาใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน อาทิ ก้อนหิน ไข่มุก เปลือกหอย แร่เงิน เหรียญกษาปณ์ ตลอดจนทองคำ

จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า วัตถุหรือสิ่งของที่สามารถผลิตหรือเพิ่มปริมาณได้โดยง่าย ย่อมมีแนวโน้มสูญเสียมูลค่าในระยะยาว กล่าวคือ เมื่ออุปทาน (Supply) ของสิ่งนั้นเพิ่มขึ้น ขณะที่อุปสงค์ (Demand) ยังคงเท่าเดิม ย่อมส่งผลให้มูลค่าของสิ่งนั้นลดลงตามกลไกทางเศรษฐศาสตร์โดยธรรมชาติ

ยกตัวอย่าง

สมมติว่า ประเทศ A มีปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบอยู่ที่ 100 ล้านบาท และสามารถผลิตขนมปังได้จำนวน 10 ล้านชิ้นต่อปี ขนมปัง 1 ชิ้นมีราคาประมาณ 10 บาท โดยที่อุปสงค์และอุปทานของเงินและราคาสินค้าอยู่ในภาวะสมดุล

หากมีการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเพิ่มเติมอีก 100 ล้านบาท รวมเป็น 200 ล้านบาท ขณะที่ปริมาณขนมปังที่ผลิตได้ยังคงอยู่ที่ 10 ล้านชิ้นต่อปีเท่าเดิม จะทำให้เกิดภาวะที่ประชาชนมีเงินใช้จ่ายเพิ่มขึ้นแต่สินค้ายังคงมีจำนวนจำกัด

ผลลัพธ์ที่ตามมาคือ ความต้องการซื้อขนมปังจะเพิ่มสูงขึ้น จนนำไปสู่การแย่งซื้อ เกิดภาวะขาดแคลนในตลาด และผู้ขายมีแนวโน้มที่จะปรับราคาสินค้าให้สูงขึ้น เพื่อสะท้อนความต้องการของตลาดและ แสวงหากำไรเพิ่ม

การเปลี่ยนแปลงนี้จะดำเนินไปจนกว่าราคาและปริมาณการซื้อขายจะเข้าสู่จุดสมดุลใหม่ สถานการณ์เช่นนี้เรียกว่า ภาวะเงินเฟ้อ (Inflation) ซึ่งหมายถึงการลดลงของมูลค่าเงิน เมื่อจำนวนเงินในระบบเพิ่มขึ้นโดยที่ปริมาณสินค้าและบริการไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้ทัน ส่งผลให้ราคาสินค้าโดยรวมปรับตัวสูงขึ้น และกำลังซื้อของประชาชนลดลงตามไปด้วย

การเปลี่ยนแปลง

สถานการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต เช่น กรณีของไข่มุกและเปลือกหอย ซึ่งเคยถูกนำมาใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน แต่เมื่อสามารถหาได้ง่ายขึ้นและมีปริมาณเพิ่มมากเกินไป มูลค่าของสิ่งเหล่านั้นจึงลดลงตามกลไกเศรษฐศาสตร์

ต่อมา มนุษย์จึงหันมาใช้ทรัพยากรที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกว่าในการรักษามูลค่า นั่นคือ ทองคำ เนื่องจากมีจำนวนจำกัด ขุดหาได้ยาก และไม่เสื่อมสภาพ จึงมีความสามารถในการรักษาอำนาจซื้อได้ดีกว่าสิ่งอื่น ๆ ที่เคยใช้มา

เมื่อเข้าสู่ยุค Gold Standard หรือยุคที่มีการกำหนดให้อัตราแลกเปลี่ยนของเงินกระดาษผูกกับมูลค่าของทองคำ ระบบเศรษฐกิจในขณะนั้นสามารถรักษาเสถียรภาพของค่าเงินได้ในระดับหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม ในปี ค.ศ. 1971 สหรัฐอเมริกาได้ประกาศยกเลิกการผูกค่าเงินกับทองคำอย่างเป็นทางการ ส่งผลให้เงินกระดาษกลับเข้าสู่ภาวะที่ไม่สามารถรักษามูลค่าได้อย่างมีเสถียรภาพอีกต่อไป และนำมาซึ่งปัญหาค่าเงินเสื่อมมูลค่าต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน

ด้วยเหตุนี้ แนวคิดเรื่อง Store of Value หรือแหล่งเก็บรักษามูลค่าจึงเป็นสิ่งที่ประชาชนและนักลงทุนควรให้ความสำคัญ เพื่อปกป้องอำนาจซื้อของตนในระยะยาว

หลักฐานและข้อเท็จจริง

ตลอดระยะเวลากว่า 50 ปีที่ผ่านมา ภายหลังจากการยกเลิกการผูกค่าเงินกับทองคำ ได้เห็นแนวโน้มอย่างชัดเจนว่า “ค่าเงิน” มีการเสื่อมมูลค่าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนผ่านการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าและอาหารในระดับที่สูงขึ้นมาก

ด้วยภาวะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นโดยเฉลี่ยในอัตราประมาณ 7% ต่อปี ส่งผลให้ “อำนาจซื้อ” ของเงินสดลดลงตามกาลเวลา ตัวอย่างเช่น หากมีเงินจำนวน 100 บาท และอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 7% ต่อปี ผ่านไป 10 ปี มูลค่าแท้จริงของเงินนั้นจะเหลือเพียงประมาณ 48.4 บาทเท่านั้น (คำนวณจากสูตร 100 × 0.93¹⁰ = 48.398)

กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ มูลค่าของเงินลดลงกว่าครึ่งในเวลาเพียงหนึ่งทศวรรษ

ด้วยเหตุนี้ ผู้คนจึงจำเป็นต้องแสวงหาวิธีในการ “เก็บรักษามูลค่า” ของเงินให้อยู่รอดปลอดภัยจากภาวะเงินเฟ้อ โดยการนำเงินไปแปลงเป็นสินทรัพย์หรือเครื่องมือทางการเงินที่สามารถรักษาอำนาจซื้อไว้ได้ในระยะยาวด้วยเหตุนี้จึงเป็นเหตุให้ทุกคนเห็นราคาดัชนีหุ้นอเมริกาซึ่งมีศักยภาพ ราคาบ้าน ที่ดิน ทองคำ สูงมหาศาลโดยเงินเสื่อมค่าคือหนึ่งในปัจจัยหลักทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น

สิ่งที่สามารถรักษามูลค่าได้

อาหารเป็นทรัพยากรที่เน่าเสียได้ ขณะที่สิ่งของหรือทรัพย์สินบางประเภทก็มีแนวโน้มที่จะเสื่อมสภาพตามกาลเวลา จึงไม่เหมาะสมในการใช้เป็นแหล่งเก็บรักษามูลค่าในระยะยาว

หุ้น ถือเป็นหนึ่งในทางเลือกที่น่าสนใจ เนื่องจากสามารถสร้างผลตอบแทนได้จากการเติบโตของกิจการ หากบริษัทสามารถปรับราคาสินค้าให้สูงขึ้นตามกำลังซื้อของผู้บริโภค ผู้ถือหุ้นก็อาจได้รับผลประโยชน์จากส่วนต่างนั้น อย่างไรก็ตาม การลงทุนในหุ้นจำเป็นต้องอาศัยความรู้ ความสามารถ และการวิเคราะห์อย่างรอบคอบ เนื่องจากแต่ละบริษัทมีเจ้าของ มีโครงสร้างทางธุรกิจที่แตกต่างกัน และอาจประสบกับภาวะขาดทุน หรือล้มละลายได้ ต้องใช้ฝีมือ

อสังหาริมทรัพย์ ก็เป็นอีกหนึ่งสินทรัพย์ที่สามารถรักษามูลค่าในระยะยาวได้ ทั้งยังมีประโยชน์ใช้สอยจริง อย่างไรก็ตาม อสังหาริมทรัพย์มีข้อจำกัดด้านสภาพคล่อง กล่าวคือ อาจไม่สามารถแปลงเป็นเงินสดได้อย่างรวดเร็วเมื่อต้องการ

สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการใช้ทักษะในการวิเคราะห์หรือประเมินมูลค่าอย่างซับซ้อน อาจพิจารณา “ย้อนกลับสู่พื้นฐาน” ด้วยการถือครองสินทรัพย์ที่มีความเชื่อถือในระดับสากล และไม่สามารถผลิตเพิ่มได้ง่าย เช่นทองคำ และ บิทคอยน์ (Bitcoin)

บิทคอยน์

อย่างบิทคอยน์ถ้าคุณเชื่อในบิทคอยน์แล้วศึกษาแล้วว่ามันจะยั่งยืนยาว แล้วถือ 1 BTC หมายถึงคุณถือครอง 1 ใน 21 ล้านหน่วยของระบบ อีกสิบปีคุณก็จะเป็น 1 ใน 21 ล้าน ต่างจากดอลลาร์ที่วันนี้คุณอาจจะเป็น 1 ใน 100 ล้านๆ ของระบบ อีกสิบปีคุณไม่สามารถรู้ได้ว่าจะเป็น 1 ใน 150 ล้านๆ หรือ 200 ล้านๆ หรือจะเป็นอย่างอื่นที่ควบคุมไม่ได้  Btc/usd ก็จะสูงขึ้นหากคนให้ค่าบิทคอยน์เท่าเดิม อย่างไรก็ตามบิทคอยน์เกิดมาสิบกว่าปี อาจยังต้องพิสูจน์ตัวเองเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะยุคเปลี่ยนผ่านจึงสามารถ Store Of Value ผ่านการโดยจัดการถือครองตามความเสี่ยงที่รับได้

สรุป

Store of Value คือแนวคิดในการเก็บมูลค่าให้คงอยู่ ไม่เสื่อมตามกาลเวลา ในโลกที่เงินเฟ้อเป็นเรื่องธรรมชาติ การหาทางเลือกเพื่อรักษาอำนาจซื้อของเราจึงเป็นสิ่งจำเป็นไม่ว่าจะเป็นทองคำ อสังหา หุ้น หรือ Bitcoinไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบ แต่เราสามารถเลือกและจัดการได้ ตามสไตล์การลงทุนและความเสี่ยงที่รับไหว