ทำไมข่าว “Liquid Staking ไม่ใช่ Securities” ถึงสำคัญ

2025-08-21

ในตลาดการเงินสหรัฐฯ คำว่า หลักทรัพย์ (Securities) หมายถึงสินทรัพย์ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ SEC (U.S. Securities and Exchange Commission) ถ้าสินทรัพย์ใดถูกจัดว่าเป็น Securities จะต้องจดทะเบียน และปฏิบัติตามกฎระเบียบต่าง ๆ ของ SEC อย่างเข้มงวด

ในช่วงที่ผ่านมา Gary Gensler อดีตประธาน SEC มีท่าทีชัดเจนว่า “คริปโตส่วนใหญ่เป็นหลักทรัพย์ (Securities)” และใครไม่ได้จดทะเบียนก็จะถูกฟ้องร้อง ซึ่งโครงการคริปโตส่วนใหญ่ไม่ได้จดทะเบียนเนื่องจากคริปโตเป็นสิ่งใหม่ กฎระเบียบยังไม่ชัดเจน และไม่มีช่องทางที่ชัดเจนในการอนุมัติ ในขณะนั้น แม้ว่าจะพยายาม แต่โอกาสที่จะได้รับการอนุมัติจาก SEC ก็มีน้อยมาก ดังนั้นหลายโครงการจึงดำเนินการต่อไปโดยไม่จดทะเบียนส่งผลให้

  • นักลงทุนเกิดความกังวลด้านกฎหมาย

  • โครงการคริปโตหลายเจ้าถูก SEC ฟ้อง

  • การทำ ETF (โดยเฉพาะ ETF ที่เกี่ยวข้องกับคริปโต) ทำได้ยาก เพราะสินทรัพย์อ้างอิงถูกมองว่าเป็น หลักทรัพย์ (Securities) ที่ไม่ได้จดทะเบียน

  • สถาบันการเงินไม่สามารถเข้าลงทุนได้ตามกฎของตน

ข่าวดี Liquid Staking ไม่ใช่ Securities

ล่าสุด Division of Corporation Finance ของ SEC ออกแถลงการณ์ว่า กิจกรรม Liquid Staking และ Staking Receipt Tokens “ไม่เข้าข่ายการเสนอขายหลักทรัพย์ (Securities)”

ผลกระทบสำคัญคือ:

  1. SEC ไม่มีสิทธิฟ้อง กิจกรรม Liquid Staking ที่อยู่ในขอบเขตนี้

  2. ไม่ต้องจดทะเบียนกับ SEC ก็สามารถให้บริการได้

  3. เปิดทางให้ทำ ETF ได้ง่ายขึ้น เพราะไม่มีข้อจำกัดด้านการกำกับแบบหลักทรัพย์ (Securities)

  4. สถาบันสามารถเข้ามาใช้บริการ staking ได้ ตามกฎของตนเอง

ทำไมเรื่องนี้สำคัญ

1. ช่วยกระตุ้นให้เม็ดเงินจากสถาบันและบริษัทต่าง ๆ เข้าสู่บริการ Staking มากขึ้นแบบไม่ผิดกฎหมาย ทำให้ผลกระทบเชิงบวกอาจตกไปถึงผู้ให้บริการ Liquid Staking และ DeFi ตัวอย่างเช่น บริษัทสามารถนำ ETH ไป Stake บน Lido หรือ Rocket Pool เพื่อรับ stETH, rETH ไปถือแล้วรับผลตอบแทนรายวันแบบต่อเนื่อง นอกจากนี้หากในอนาคตมีกฎหมายรองรับ โทเค็น stETH หรือ rETH เหล่านี้อาจถูกนำไปใช้เป็น Collateral บนแพลตฟอร์มอย่าง Aave เพื่อปล่อยกู้หรือกู้ยืมต่อ เพื่อสร้างผลตอบแทนเพิ่มเติมได้ (ปัจจุบัน Lido มีมูลค่า TVL ราว 36 พันล้านดอลลาร์ และ Aave ราว 35 พันล้านดอลลาร์)

2.การซื้อ ETH ETF ของสถาบัน ปัจจุบันไม่คุ้มเท่าไร เพราะ ETH ที่ถือใน ETF ไม่สามารถนำไป stake เพื่อรับผลตอบแทน (yield) ได้ ขณะที่นักลงทุนรายย่อยที่ถือ ETH โดยตรงสามารถ stake และได้ yield เพิ่มทำให้เกิดความไม่ยุติธรรมส่งผลให้สถาบันอาจเลือกบิทคอยน์ที่คุ้มค่าที่สุดเพราะเป็นสินทรัพย์ที่ไม่จำเป็นต้องมีผลตอบแทน yield เนื่องจากเป็น store of value

ถ้า Spot ETH ETF Staking ได้รับการอนุมัติ:

  • ETF จะสามารถนำ ETH ที่ถือไป stake ได้

  • Narrative ของ ETH ETF จะเปลี่ยนจากแค่การเก็งกำไรจาก Capital Gain เป็น สินทรัพย์ที่สร้างรายได้ประจำ (yield-generating asset)

  • มีเกิดโอกาสเติบโตไปกับธีมขนาดใหญ่ในตลาด เช่น Stablecoin, RWA (Real World Assets) และ DeFi

BlackRock กำลังสนใจ

BlackRock ซื้อ ETH หนักมากในช่วงที่ผ่านมา มีความเป็นไปได้ว่าการอนุญาต ให้ Staking ใน ETF “ใกล้ผ่านแล้ว” เพราะ SEC ออกมาบอกว่าไม่เป็นหลักทรัพย์ (Not Securities) ซึ่งถ้า Spot ETH ETF Staking ผ่านจริง จะเป็นการเปิดประตูให้เงินสถาบันเงินทุนมหาศาลไหลเข้าสู่ตลาด ETH และบริการ staking ขนาดใหญ่เป็นครั้งแรก

สรุป

ข่าวนี้ไม่ใช่แค่เรื่องกฎเกณฑ์ แต่เป็นการ “ปลดล็อก” ความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ให้กับ ETH และตลาดคริปโตโดยรวม เพราะเมื่อสถาบันลงทุนในสินทรัพย์ที่สร้าง yield ได้ เราอาจเห็นการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ทั้งใน ราคา และ ปริมาณเงินลงทุนมหาศาล