Chainbase (C) คืออะไร?

2025-07-29

ในยุคของ AI ต้องการเศรษฐกิจข้อมูลรูปแบบใหม่ เพราะ ข้อมูล (Data) คือสิ่งล้ำค่ามันคือรากฐานของปัญญาประดิษฐ์ (AI) และยิ่ง AI ถูกฝังลึกในโครงสร้างดิจิทัลมากเท่าไหร่ ข้อมูลคุณภาพสูงก็ยิ่งกลายเป็นทรัพย์สินที่มีค่ามากขึ้น แต่ระบบข้อมูลปัจจุบันไม่ตอบโจทย์ AI โดยเฉพาะข้อมูลจากบล็อกเชนซึ่งยังกระจัดกระจาย, ไม่เป็นโครงสร้าง, ไม่สามารถตรวจสอบได้ และไม่มีระบบกำหนดมูลค่าหรือแรงจูงใจที่เหมาะสม

Chainbase จึงเสนอแนวทางใหม่ด้วย Hyperdata Network ระบบข้อมูลที่ออกแบบมาสำหรับ “อินเทอร์เน็ตยุค AI" โดยเปลี่ยนกิจกรรมดิบจากบล็อกเชนให้กลายเป็นข้อมูลที่มีโครงสร้าง ใช้งานซ้ำได้ และอ่านเข้าใจโดยเครื่อง (machine-consumable) สิ่งนี้จะเปิดทางให้เอเจนต์อัตโนมัติ โปรโตคอล และมนุษย์ สามารถเข้าถึงและทำงานร่วมกันบนชั้นข้อมูลเดียวกันได้ หัวใจของระบบนี้คือโทเคน $C เป็นพลังขับเคลื่อนทั้งระบบ AI และเศรษฐกิจข้อมูลแบบใหม่ (DataFi)




Chainbase ทำงานอย่างไร

Chainbase ขับเคลื่อนด้วยสถาปัตยกรรมแบบสองเชน (Dual-Chain Architecture) ที่รวมความสามารถของ Cosmos และ EigenLayer และทำงานผ่านระบบ 4 ชั้น ซึ่งแต่ละชั้นมีหน้าที่เฉพาะในกระบวนการจัดการข้อมูล

Data Accessibility Layer

ชั้นนี้ทำหน้าที่รวบรวมและจัดระเบียบข้อมูลจากทั้ง on-chain และ off-chain โดยข้อมูล on-chain เช่น ประวัติธุรกรรมและการทำงานของสมาร์ตคอนแทรกต์ ส่วน off-chain ครอบคลุมข้อมูลขนาดใหญ่หรือข้อมูลส่วนตัว เช่น โมเดล AI หรือ metadata ของแอป ข้อมูลทั้งหมดมาจากผู้ให้บริการแบบกระจายศูนย์ ที่ไม่มีใครควบคุมศูนย์กลาง และสามารถตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลได้โดยที่ไม่ต้องเปิดเผยข้อมูลสำคัญ ด้วยเทคโนโลยี Zero-Knowledge Proofs (ZKP)

Co-Processor 

ขับเคลื่อนด้วย Manuscript ซึ่งเป็นสคริปต์สำคัญในระบบนิเวศของ Chainbase ที่ระบุวิธีประมวลผลข้อมูลบล็อกเชน เช่น การดึงข้อมูล การจัดระเบียบ หรือการแปลงให้อยู่ในรูปแบบที่แอปหรือ AI ใช้งานได้ ตัวอย่างเช่น นักพัฒนาอาจเขียน Manuscript เพื่อกรองเฉพาะธุรกรรมโอนโทเคนจากสมาร์ตคอนแทรกต์ หรือวิเคราะห์พฤติกรรมกระเป๋าสตางค์เพื่อตรวจจับการฉ้อโกง ที่สำคัญเมื่อเผยแพร่ Manuscript แล้ว ทุกคนสามารถใช้งานได้ และผู้สร้างจะได้รับรางวัลทุกครั้งที่ถูกใช้งาน ส่งผลให้เกิดคลังเครื่องมือข้อมูลที่เชื่อถือได้และนำกลับมาใช้ซ้ำได้ ซึ่งเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ จากการมีส่วนร่วมของนักพัฒนาทั่วโลก

Execution Layer

ขับเคลื่อนด้วย Chainbase Virtual Machine (CVM) ซึ่งออกแบบมาเฉพาะเพื่อประมวลผล Manuscript ในระดับใหญ่ รองรับการทำงานแบบขนานเพื่อความเร็วและประสิทธิภาพ ชั้นนี้มีความปลอดภัยผ่าน EigenLayer โดยเปิดให้ผู้ให้บริการ AVS จะต้องนำ ETH หรือ LST มา restake เพื่อให้ทรัพยากรในการประมวลผล และรับรางวัลตามปริมาณงานตามที่ให้บริการ

Consensus Layer

ใช้ฉันทามติแบบ CometBFT (Byzantine Fault Tolerant) ที่ให้ Finality ได้อย่างรวดเร็วและเชื่อถือได้ ร่วมกับระบบ Delegated Proof of Stake (DPoS) ซึ่ง Validator จะตรวจสอบการดำเนินงานของข้อมูลให้ถูกต้องและสอดคล้อง ขณะที่ Delegator สามารถ stake โทเคนเพื่อสนับสนุน Validator ที่ตนไว้วางใจและรับส่วนแบ่งรางวัล

การทำงานร่วมกันของชั้นทั้ง 4 นี้ทำให้ Chainbase สามารถส่งมอบข้อมูลที่มีคุณภาพสูงและพร้อมสำหรับ AI ในระบบที่กระจายศูนย์ ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ ช่วยสนับสนุนการสร้างนวัตกรรมและแอปพลิเคชัน AI ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลในระบบนิเวศอย่างครบวงจรและมีเสถียรภาพ




ใครทำอะไรบ้างใน Chainbase

นักพัฒนา (Developers)

นักพัฒนาไม่เพียงแค่ใช้ข้อมูลเพื่อขับเคลื่อนแอปพลิเคชันของตนเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทในการสร้างข้อมูลด้วย โดยการพัฒนา Manuscripts ผ่าน Chainbase SDK ซึ่งสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้ เช่น

  • สร้าง Manuscripts เพื่อดึงข้อมูลและแปลงข้อมูลให้เหมาะสมกับการใช้งานจริง เช่น โมเดล AI, แดชบอร์ด DeFi หรือเครื่องมือตรวจจับการฉ้อโกง

  • เข้าถึงชุดข้อมูลที่ผ่านการตรวจสอบจากหลายบล็อกเชน เพื่อใช้สร้าง DApp ที่ฉลาดขึ้นและทำงานได้เร็วขึ้น

  • รับรางวัลตามความถี่ในการใช้งาน Manuscript และมูลค่าที่มอบให้กับระบบนิเวศ

โอเปอเรเตอร์ (Operators)

โอเปอเรเตอร์คือผู้ให้บริการพลังประมวลผลที่ขับเคลื่อนเลเยอร์ประมวลผล (Execution Layer) ของเครือข่าย Chainbase พวกเขามีบทบาทสำคัญในการประมวลผล Manuscript และดูแลให้การจัดการข้อมูลทำงานได้ราบรื่นในระดับที่สามารถขยายได้

  • รัน CVM (Chainbase Virtual Machine) เพื่อประมวลผลงานข้อมูลและจัดการข้อมูลปริมาณมหาศาล

  • สามารถเข้าร่วมระบบการประมวลผลแบบกระจายศูนย์ของ Chainbase โดยการ Restake เหรียญ ETH หรือ LSTs ผ่าน EigenLayer

  • ได้รับรางวัลเป็นโทเคนตามประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือของโครงสร้างพื้นฐานที่ตนให้บริการ

ผู้ตรวจสอบ (Validators)

ผู้ตรวจสอบมีหน้าที่รักษาความถูกต้องและความปลอดภัยของเครือข่าย โดยทำหน้าที่ตรวจสอบให้แน่ใจว่าการแปลงข้อมูลและธุรกรรมต่าง ๆ ถูกต้องและสอดคล้องกัน

  • มีส่วนร่วมในกระบวนการฉันทามติของเครือข่าย โดยใช้ระบบ CometBFT และ DPoS (Delegated Proof of Stake)

  • ตรวจสอบผลลัพธ์จาก Manuscript, อัปเดตสถานะของเครือข่าย และช่วยรักษาการ Finality ที่รวดเร็วและทนทานต่อความผิดพลาด

  • ได้รับรางวัลตอบแทนสำหรับการทำให้ระบบมีความแม่นยำ เชื่อถือได้ และป้องกันการปลอมแปลง

ผู้มอบสิทธิ์ (Delegators)

Delegator มีบทบาทในการช่วยรักษาความปลอดภัยของเครือข่ายด้วยการนำโทเคนของตนไป Stake กับ Validator หรือ Operator ที่ตนไว้วางใจ แม้จะไม่ได้รันโครงสร้างพื้นฐานเอง แต่ก็มีส่วนสำคัญต่อสุขภาพและการกระจายอำนาจของระบบ

  • เลือกมอบหมายโทเคนให้กับ Validator หรือ Operator ที่เชื่อมั่น และรับส่วนแบ่งของรางวัลที่สร้างขึ้น

  • สามารถมีส่วนร่วมในระบบการกำกับดูแล เช่น การลงคะแนนอัปเกรดโปรโตคอล การจัดสรรงบประมาณ และตัดสินใจในเรื่องสำคัญที่กำหนดทิศทางของ Chainbase ในอนาคต

เหรียญ C ทำอะไรได้บ้าง


C คือโทเคนหลักของระบบ Chainbase ที่ใช้ในการเข้าถึงชุดข้อมูลและรัน Manuscript, โดย Validator และ Operator จำเป็นต้องสเตคโทเคน C เพื่อช่วยรักษาเสถียรภาพของเครือข่ายและกระบวนการประมวลผลข้อมูล ขณะที่ Delegator ก็สามารถสเตคโทเคน C กับผู้เข้าร่วมที่ตนไว้วางใจ เพื่อสนับสนุนความปลอดภัยของระบบและรับส่วนแบ่งรางวัลตอบแทน รวมถึงใช้ในการโหวตตัดสินใจด้านการกำกับดูแลโปรโตคอลต่าง ๆ ภายในระบบ.



การกระจายตัวเหรียญ C

  • Ecosystem & Community : 40%

  • Early Backers : 17%

  • Core Contributors : 15%

  • Airdrop Incentives : 13%

  • Other : 15%

อุปทานสูงสุด 1 พันล้าน C ปัจจุบันปลดล็อคมาแล้ว 160 ล้าน C




สรุป

การดึงข้อมูลที่มีประโยชน์จากบล็อกเชนเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะเมื่อต้องจัดการกับหลายเครือข่ายและรูปแบบข้อมูลที่แตกต่างกัน Chainbase ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหานี้ ด้วยการเปลี่ยนข้อมูลกระจัดกระจายจากบล็อกเชนให้เป็นข้อมูลที่สะอาด มีโครงสร้าง และพร้อมใช้งาน.