การทำ Bitcoin Strategy ผ่านการเพิ่มทุนทำได้อย่างไร

ทำไมมันถึงทำให้ราคาหุ้นพุ่งแรงกว่าราคาบิทคอยน์ในช่วงขาขึ้น?
หลายคนอาจเคยได้ยินชื่อหุ้น MSTR ของบริษัท Strategy ที่ถือบิทคอยน์มหาศาล แล้วเคยสงสัยไหมว่า ทำไมหุ้นของบริษัทนี้ถึงมีมูลค่าตลาดสูงถึง $120 พันล้าน ทั้งที่ในปี 2020 บริษัทมีมูลค่าตลาด 2-3 พันล้านดอลลาร์ เงินสดเพียง 500 ล้านเหรียญ
ในปีนั้นเอง บริษัทได้นำเงินสดสำรองกว่า $425 ล้าน (หรือ 85%) ไปซื้อบิทคอยน์ 38,250 BTC
และจนถึงตอนนี้ พวกเขาสะสมได้กว่า 600,000 BTC มากกว่าประเทศไหน ๆ ในโลก เขาใช้วิธีไหนกันแน่ หาเงินจากไหนมาซื้อเรื่อย ๆ แล้วทำไมราคาหุ้นถึงพุ่งแรงกว่าบิทคอยน์เสียอีก?
กลยุทธ์ “พิมพ์หุ้นซื้อบิทคอยน์”
ผมจะมาแชร์หนึ่งในวิธีที่บริษัทแบบนี้นิยมใช้กัน คือ “การออกหุ้นเพิ่มทุน เพื่อนำเงินไปซื้อบิทคอยน์” โดยเฉพาะการเพิ่มทุนแบบ ATM (At-The-Market Offering) ที่หลายๆบริษัทเช่น Strategy, Metaplanet และ SharpLink ใช้กันไม่น้อย วิธีนี้คือ การที่บริษัทจดทะเบียนเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่นักลงทุนทั่วไปผ่านตัวแทนจำหน่าย (เช่น โบรกเกอร์) หรือพูดง่ายๆคือสร้างหุ้นขึ้นมาใหม่ปล่อยขายทอดสู่ตลาดนั่นเอง นี่เป็นหนึ่งในวิธีกลยุทธ์ที่มีศักยภาพในการสะสมบิทคอยน์รูปแบบหนึ่ง
นอกจากนี้ยังมีวิธีกลยุทธ์ที่ซับซ้อนกว่านี้อยู่อีกมาก เช่น เรื่องหุ้นกู้แปลงสภาพ, การออกหุ้นบุริมสิทธิ หรือกลยุทธ์อื่น ๆ ที่ใช้ควบคู่กัน ซึ่งวันนี้ผมจะยังไม่ได้พูดถึงนะครับ
หลักการก็ตรงไปตรงมา บริษัท “ขายหุ้นเพิ่มทุน” เพื่อได้เงินสด แล้วเอาเงินสดนั้นไปซื้อบิทคอยน์ปกติการเพิ่มทุนจะทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของเราลดลง (dilution) แต่ถ้าบริษัทไม่ได้ “เสียมูลค่ารวม” การลดสัดส่วนก็ไม่ได้ทำให้ผู้ถือหุ้นเสียหายในกรณีที่คาดหวังให้บริษัทโตโดยยังไม่ต้องการปันผล หรือ อำนาจโหวต เพราะมูลค่ายังเท่าเดิมเนื่องจากเงินที่ได้ทั้งหมดถูกนำไปซื้อสินทรัพย์
ตัวอย่างเข้าใจง่าย (มูลค่าบริษัท = จำนวนหุ้น × ราคาหุ้น)
สมมุติบริษัทมีหุ้น 1,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 10 บาท มูลค่าบริษัทคือ 1000*10 = 10,000 บาท
บริษัทขายหุ้นเพิ่มทุนอีก 500 หุ้น ในราคาเดิม 10 บาท ได้เงินมาอีก 500*10 = 5,000 บาท เอาไปซื้อบิทคอยน์ ทำให้ตอนนี้บริษัทมี หุ้นทั้งหมด 1,500 หุ้น มูลค่าบริษัท = 10,000 (หุ้นเดิม) + 5,000 (บิทคอยน์) = 15,000 บาท
ราคาหุ้นใหม่หาจาก มูลค่าบริษัทหารจำนวนหุ้น = 15,000/1,500 = 10 บาทเท่าเดิม
สรุปคือ บริษัทได้บิทคอยน์เพิ่ม โดยไม่ทำให้ราคาหุ้นต่อคนลดลงเลย นี่คือการเพิ่มทุนมูลค่าบริษัทเทียบ กับ ราคาที่เปลี่ยนไป ต่อไปผมจะพูดถึง เพิ่มทุนมูลค่าบริษัทเทียบกับมูลค่าบิทคอยน์ที่เปลี่ยนไป
ที่น่าสนใจอยู่ตรงนี้
ในโลกของหุ้น จะมีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่า “Premium” ซึ่งหมายถึง ราคาที่นักลงทุน ยอมจ่ายแพงกว่ามูลค่าสินทรัพย์ที่บริษัทถืออยู่จริง ในกรณีของบริษัทที่ถือครอง บิทคอยน์ Premium นี้สะท้อนถึง “ความคาดหวัง” ของนักลงทุนว่า
บริษัทจะสามารถ สะสมบิทคอยน์เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จำนวน “บิทคอยน์ต่อหุ้น” จะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความหวังว่าในอนาคต บิทคอยน์อาจจะถูกใช้สร้างรายได้ เช่น ปล่อยกู้ ให้สภาพคล่อง หรือใช้ประโยชน์ทางการเงินอื่น ๆ
ความคาดหวังเหล่านี้เอง ที่ผลักดันให้คนยอมซื้อหุ้นแพงขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้เกิดค่า NAV Multiple (หรือ mNAV) ที่สูงขึ้นตาม
แล้ว NAV Multiple คืออะไร?
ในตลาดจะมีค่าหนึ่งที่ใช้วัดว่า "หุ้นของบริษัทนี้ตอนนี้ แพงกว่ามูลค่าบิทคอยน์ที่ถืออยู่กี่เท่า" เรียกว่า NAV Multiple (หรือ mNAV) หาได้จาก มูลค่าตลาดของบริษัท/มูลค่าบิทคอยน์ที่ถือ
เช่น ถ้า NAV Multiple = 3 แปลว่า ราคาหุ้นรวมกัน แพงกว่าบิทคอยน์ที่บริษัทถืออยู่ 3 เท่า ในกรณีแบบนี้ หากบริษัทสามารถ “ขายหุ้น 1 ส่วน แล้วเอาเงินไปซื้อบิทคอยน์เพิ่มได้ถึง 3 ส่วนเมื่อเทียบกับหุ้นที่ถูก dilute ไปแค่ 1 ส่วน”
ผลคือ บิทคอยน์ต่อหุ้น เพิ่มขึ้น หากราคาบิทคอยน์ขึ้น หุ้นก็จะขึ้นมากกว่า แล้วก็ขายหุ้นเพิ่มทุนไปซื้อบิทคอยน์ซ้ำ พอทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ เหมือนเอาหิมะไปกลิ้ง สะสมได้เยอะขึ้นแบบ Snowball Effect เป็นวิธีใช้ leverage ทางอ้อม ที่ได้ผลดีมากในตลาดขาขึ้น
ตัวอย่าง
บริษัทมีมูลค่า 15,000 บาท หุ้น 1,500 หุ้น ถือ BTC มูลค่า 5,000 บาท สมมุติว่าราคาบิทคอยน์จาก 500 เป็น 1,000 บาท มูลค่า BTC กลายเป็น 5,000*2 = 10,000บาท ซึ่งก็คือจำนวน 10,000/1,000 = 10 BTC
รวมมูลค่าบริษัทตอนนี้ = 20,000 บาท ราคาหุ้นหาได้จากมูลค่าบริษัทหารจำนวนหุ้นได้ 20000/1500 = 13.3 บาท (mNav มูลค่าบริษัทหารมูลค่าบิทคอยน์ที่ถือ 20,000/10,000 = 2เท่า หมายความว่าหากขายหุ้นเพิ่มทุนถูก dilute 1 ส่วน ณ ราคานี้ บริษัทจะสามารถซื้อบิทคอยได้ถึง 2 ส่วน)
บิทคอยน์ต่อหุ้น = 10/1,500 = 0.0066 BTC
บริษัทเพิ่มทุนอีก 1,000 หุ้น ที่ราคา 13.3 ได้มา 1000*13.3 = 13,300 บาท
ซื้อ BTC ที่ราคา 1,000 บาท ได้ 13,000/1,000 = 13.3 BTC บริษัทถือรวม 10+13.3 = 23.3 BTC
ในขณะที่หุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 2,500 หุ้น (mNav ได้ 33,300/23,300 =1.429 เท่า พอหลังเพิ่มทุน mNav จะลดลงเพราะสัดส่วนบิทคอยน์เพิ่มขึ้น 2ส่วน ขณะที่ จำนวนหุ้นเพิ่มถูก Dilute แค่ 1 ส่วน จากการที่เพิ่มทุนไปตอนบริษัทมีมูลค่า 20,000 บาท จำนวน 13,300 บาท )
บิทคอยน์ต่อหุ้น = 23.3/2,500 = 0.0093
นี่แหละครับที่เรียกว่า “Bitcoin Yield” ที่บริษัทที่ทำ Bitcoin treasury วัดประเมินศักยภาพ เป็น KPI สำคัญที่บอกว่าบริษัทมีความสามารถในการ เพิ่ม BTC ต่อหุ้นได้แค่ไหน
สรุปส่งท้าย
จุดประสงค์ของกลยุทธ์นี้ชัดมาก สะสมบิทคอยน์ให้ได้เยอะที่สุด โดยไม่ต้องกู้ ไม่ต้องเสียดอกเบี้ย ไม่ต้องลดมูลค่าหุ้นที่มีอยู่
นักลงทุนที่เข้าซื้อหุ้นแบบนี้ ไม่ใช่แค่เชื่อในบิทคอยน์ แต่เชื่อว่า “บริษัทจะสะสม BTC ได้เก่งกว่าเราทำเอง” และยิ่งตลาดเป็นขาขึ้น กลไก Snowball จะทำให้บิทคอยน์ต่อหุ้นยิ่งพุ่งราคาหุ้นก็ยิ่งพุ่งตาม ซึ่ง Leverage นี่เองคือ "จุดต่าง" สำคัญที่ทำให้นักลงทุนสาย Leverage เลือกซื้อหุ้นของบริษัทที่ถือและสะสมคริปโตมากกว่าการซื้อเหรียญตรง ๆ
อีกทั้งบางคนก็หวังว่าในอนาคตบริษัทอาจจะใช้ประโยชน์ จากการที่ครอบครองบิทคอยน์มหาศาลเช่น ปล่อยกู้ สนับสนุนสภาพคล่อง หรือ stake เหรียญ ในกรณีเป็นเหรียญอื่นเช่น ETH ที่นำโดย SharpLink Gaming
แต่ก็ต้องระวังด้วย
ถ้าตลาดเข้าสู่ช่วงขาลง NAV Multiple ต่ำกว่า 1 การเพิ่มทุนจะทำให้บิทคอยน์ต่อหุ้นลดลง นักลงทุนไม่ชอบ ราคาหุ้นอาจร่วง กลยุทธ์นี้จึงทรงพลังมากใน “ตลาดขาขึ้น” แต่ถ้าเล่นผิดจังหวะไปเจอตอนขาลงหุ้นอาจร่วงเยอะมากจน อาจต้องรอขาขึ้นรอบใหม่เลยทีเดียว เนื่องจากคนอาจสนใจบิทคอยน์จริงๆมากกว่าในช่วงนั้น