Blockchain Trillemma คืออะไร?

หนึ่งในคำถามใหญ่ของโลกคริปโตคือ “ทำไมยังไม่มีบล็อกเชนไหนที่ทั้งเร็ว ปลอดภัย และกระจายศูนย์อย่างแท้จริง?” คำตอบอยู่ที่สิ่งที่เรียกว่า Blockchain Trilemma แนวคิดสำคัญที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางโดย Vitalik Buterin ผู้ก่อตั้ง Ethereum กล่าวว่ามันคือองค์ประกอบสามประการที่พึงประสงค์ในบล็อกเชน มี 3 ส่วนได้แก่ การกระจายอำนาจ, ความปลอดภัย และความสามารถในการรองรับธุรกรรม
ทฤษฎีสามประการของบล็อกเชนหมายถึงแนวคิดที่ว่าบล็อกเชนยากที่จะบรรลุคุณสมบัติทั้งสามอย่างพร้อมกันในระดับที่เหมาะสม การเพิ่มคุณสมบัติอย่างหนึ่งมักจะนำไปสู่การลดคุณสมบัติอีกอย่างหนึ่ง ก่อนจะรู้ว่าทำไม มาดูกันดีกว่าครับว่าแต่ละส่วนคืออะไรบ้าง
1. การกระจายอำนาจ (Decentralization)
การกระจายอำนาจคือการที่ระบบไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของคนหรือองค์กรใดองค์กรหนึ่ง แต่เปิดให้ทุกคนในเครือข่ายมีส่วนร่วมในการตรวจสอบข้อมูลร่วมกัน เช่น ในเครือข่าย Bitcoin ไม่มีธนาคารหรือตัวกลางคอยควบคุม ข้อมูลธุรกรรมจะถูกเปิดเผยให้ทุกคนตรวจสอบได้ หากมีใครพยายามแก้ไขข้อมูลเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อตนเอง ผู้เข้าร่วมที่เหลือจะปฏิเสธข้อมูลที่ผิดพลาดนั้น ทำให้ระบบยังคงเชื่อถือได้โดยไม่ต้องพึ่งพาบุคคลกลาง ผลลัพธ์คือ ยิ่งมีผู้เข้าร่วมมาก ระบบยิ่งโปร่งใส และแทรกแซงได้ยาก
2. ความปลอดภัย ( Security )
ยิ่งมีจำนวนโหนดมาก ความปลอดภัยของบล็อกเชนก็ยิ่งสูง เพราะผู้ไม่หวังดีจะต้องควบคุมเครือข่ายให้ได้เกิน 51% จึงจะสามารถแทรกแซงข้อมูลหรือเปลี่ยนนโยบายได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำได้ยากและมีต้นทุนสูงในเครือข่ายที่ใหญ่ในระดับหนึ่ง — หากเป็นระบบ Proof of Work (PoW) ผู้โจมตีต้องมีพลังขุดมากกว่าครึ่งหนึ่งของทั้งเครือข่าย ส่วนในระบบ Proof of Stake (PoS) ต้องถือครองเหรียญมากกว่าครึ่งของที่ถูก stake ไว้ในระบบ (ขึ้นอยู่กับฉันทามติของแต่ละโปรเจกต์)
ดังนั้น ความปลอดภัยจึงเป็นรากฐานสำคัญของบล็อกเชน เพราะมันช่วยปกป้องทั้งข้อมูลและนโยบายไม่ให้ถูกเปลี่ยนแปลงโดยพลการ และยิ่งเครือข่ายมีผู้เข้าร่วมมาก กระจายตัวดี ก็ยิ่งเชื่อถือได้ในระยะยาว
3. ความสามารถในการปรับขนาด (Scalability)
ความสามารถในการปรับขนาด คือความสามารถของบล็อกเชนในการรองรับธุรกรรมจำนวนมากต่อวินาที หากเทคโนโลยีนี้จะถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลายกับผู้ใช้หลายล้านหรือพันล้านคนในอนาคต เช่น ในระบบการเงินระดับโลก เครือข่ายต้องมีความเร็วเพียงพอในการบันทึกธุรกรรมโดยไม่ล่าช้า รวมถึงต้นทุนที่ต่ำไม่แออัด
แล้วปัญหามันอยู่ตรงไหน
หากอยากได้บล็อกเชนความปลอดภัยสูงจำเป็นที่ต้องมีผู้เข้าร่วมดูแลตรวจสอบเครือข่ายจำนวนมาก (โหนด) เพราะยิ่งมีโหนดมาก ผู้ไม่หวังดีต้องใช้ต้นทุนควบคุมโหนดที่สูงขึ้นต้นทุนสูงขึ้นจนไม่คุ้มที่จะทำ เช่น การโจมตี 51% เพื่อจะแทรกแซงข้อมูลธุรกรรมหรือนโยบายของระบบ แต่ในขณะเดียวกัน การที่ต้องส่งข้อมูลให้โหนดจำนวนมากตรวจสอบก่อนยืนยัน ทำให้ระบบช้าลง ส่งผลต่อความสามารถในการประมวลผลจำนวนธุรกรรมในเวลาจริง นี่จึงเป็นเหตุผลที่หลายระบบต้องลดระดับการกระจายอำนาจลง เพื่อเพิ่มความเร็วและรองรับผู้ใช้งานมากขึ้น
เปรียบเทียบ 3 บล๊อกเชนที่มีความโดดเด่นแตกต่างกัน
เนื่องจากในปัจจุบันไม่มีใครสามารถสร้างสมดุล การกระจายอำนาจ, ความปลอดภัย, และ การปรับขนาด ได้สมบูรณ์แบบ 3 บล๊อกเชนที่โดดเด่นในแต่ละด้านจึงสามารถอยู่แถวหน้าของตลาด
1. Bitcoin มีโหนดมากที่สุดในโลก ใช้กลไก Proof of Work และปัจจุบันมี Hashing Power หรือพลังขุดมากที่สุดในโลก จึงปลอดภัยและมีการกระจายศูนย์ แต่มีข้อเสียคือทำธุรกรรมได้ช้าและค่าธรรมเนียมสูง อย่างไรก็ตามหลายๆคน ใช้เพื่อเป็น "Store of Value" มากกว่าจะใช้ทำธุรกรรมถี่ ๆ จึงมีการใช้งานเป็นจำนวนมากแม้ทำธุรกรรมไม่เร็ว
2. Ethereum มีโหนดจำนวนมาก (แม้ไม่เท่า BTC) ใช้ Proof of Stake และเป็นแพลตฟอร์มหลักสำหรับการสร้าง dApps ที่เน้นความปลอดภัยและน่าเชื่อถือ มีการกระจายศูนย์ที่ดีและมีความปลอดภัย แต่ยังมีปัญหาเรื่องการปรับขนาด เช่น ค่าธรรมเนียมธุรกรรมแพงตอนคนใช้เยอะ ซึ่งกำลังพัฒนา Layer 2 และเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อหาทางออกจากเรื่องนี้อยู่
3. Solana เด่นเรื่องความเร็วและรองรับธุรกรรมระดับสูงมาก เหมาะกับแอปที่ต้องการความลื่นไหลแบบ Web2 แต่มีโหนดจำนวนน้อยและเคยล่มหลายครั้ง ทำให้ด้อยเรื่องการกระจายอำนาจและความปลอดภัย จึงยังไม่ใช่ตัวเลือกหลักสำหรับลูกค้าสถาบันที่ต้องการความมั่นคงในระยะยาว แต่ก็เป็นที่นิยมในหมู่ผู้ใช้ทั่วไป
ทั้ง Bitcoin, Ethereum และ Solana จะมีจุดเด่นของตัวเองชัดเจน มีจุดยืนที่แตกต่าง และมีกลุ่มฐานผู้ใช้เป็นของตัวเอง แต่โลกคริปโตยังคงต้องการบล็อกเชนที่สามารถ ทั้ง “เร็ว” และ “ปลอดภัย”และมี”การกระจายศูนย์” ได้พร้อมกัน เพื่อรองรับการใช้งานระดับ “mass adoption” อย่างแท้จริง
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่หลายโปรเจกต์ทั่วโลกยังคงเร่งพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ไม่ว่าจะเป็น Layer 2, Sharding, BlockDAG หรือโมเดลฉันทามติรูปแบบใหม่ เพื่อหาทางออกของ Blockchain Trilemma ให้ได้ในที่สุด คำถามสำคัญคือ ใครจะเป็นคนแรกที่ทำได้สำเร็จ? หรือในที่สุด หนึ่งในสามผู้นำตลาดที่เรารู้จักดี อาจเป็นผู้ที่ “แก้สมการ” นี้ได้ก่อนใคร แล้วคุณละครับคิดว่าใคร