Marketcap ดวงตาของนักลงทุน และการประเมินมูลค่า

เมื่อเราเข้าสู่ตลาดทุน สิ่งแรกที่หลายคนมองคือ “ราคา” เช่น บิทคอยน์ราคา 3 ล้านบาท บางคนอาจมองว่าเวอร์ เพราะมันเคยมีราคาไม่กี่บาท แล้วเติบโตขึ้นมาหลายล้านเปอร์เซ็นต์ แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือ “มูลค่าตลาด” หรือ Market Cap เพราะมันสะท้อนถึงมูลค่ารวมของสินทรัพย์ ที่ตลาดให้ค่า ณ ปัจจุบัน ที่ไม่ใช่แค่ราคาชิ้นเดียว ( Market Cap คำนวณอย่างไร = ราคาต่อหน่วย × จำนวนหน่วยทั้งหมด)
ลองนึกภาพว่า สมมุติ ประเทศหนึ่งมีได้แค่ธนบัตร 1 รูปแบบ เพื่อให้เข้าใจง่าย ประเทศ A ธนบัตร $10 จำนวน 100 ล้านใบ เท่ากับธนบัตรหมุนเวียนในประเทศ $1000 ล้าน แต่ถ้าเปลี่ยนยกเลิกธนบัตร 10 ดอลลาร์ และเปลี่ยนเป็นธนบัตร $1 เพิ่มจำนวนเป็น 1000ล้านใบ ธนบัตรหมุนเวียนก็จะยังคงเป็น $1000 ล้าน แม้ราคาต่อใบธนบัตรจะต่างกัน แต่ด้วยจำนวนที่เปลี่ยนไป ทำให้มูลค่ารวมทั้งระบบยังเท่ากัน — นี่แหละคือ “มูลค่ารวม” ไม่ใช่แค่ดูว่าธนบัตรใบนั้นราคาเท่าไหร่แต่ดูว่ามูลค่ารวมคือเท่าไหร่
สิ่งนี้บ่งบอกอะไร หากจำนวนเพิ่มขึ้นโดยที่ราคายังคงเท่าเดิม เงินหมุนเวียนจะเพิ่มมากขึ้น หากจำนวนสินค้ามีเท่าเดิมนั่นหมายถึง ราคาสินค้าจะเพิ่มขึ้นค่าของเงินจะลดลง หรือเงินเฟ้อนั่นเอง
เช่นเดียวกับบริษัทที่เพิ่มหุ้นหรือเหรียญ ในขณะที่ผู้คนยังให้ค่ามันเท่าเดิม แต่จำนวนเพิ่มขึ้น ทำให้มูลค่า Marketcap เพิ่มขึ้นชั่วคราว แล้วราคาก็จะลดลงไปตามมูลค่าที่ผู้คนให้ค่า ณ เวลานั้น เว้นแต่ผู้คนจะให้ค่ามันมากขึ้นไม่ว่าจะมาจากการลงทุนที่น่าสนใจ หรือมีโปรเจค การเติบโต ที่น่าสนใจในอนาคต
อีกตัวอย่างว่าทำไม Marketcap เหมือนตราชั่ง เช่นบิทคอยน์ มีราคา $100,000 ต่อเหรียญ แต่มีจำนวนจำกัดที่ 21 ล้านเหรียญ หมายความว่า Market Cap อยู่ที่ $2.1 ล้านล้าน ขณะที่ทองคำมีราคา $3,300 ต่อออนซ์ และมีอยู่ 6,700 ล้านออนซ์ เท่ากับ Market Cap ประมาณ $22 ล้านล้าน — มากกว่าบิทคอยน์ถึงสิบเท่า ฉะนั้น ของที่ราคาขึ้นเยอะ ไม่ได้แปลว่ามันแพง แต่ต้องดูว่า “ของสิ่งนั้นควรมีมูลค่าเท่าไหร่”
การประเมินมูลค่า
Market Cap ไม่ได้เป็นแค่ตัวเลขบอกว่าบริษัทไหนใหญ่กว่า แต่มันยังช่วย “ประเมินโอกาสในการเติบโต” ได้ด้วย
ตัวอย่าง:
อุตสาหกรรม A มีขนาดตลาด 200,000 ล้านดอลลาร์ เติบโตปีละ 6% บริษัท B ถือ Market Share 75% มี Market Cap 150,000 ล้าน ถ้าอยากโตอีก 100% ต้องดัน Market Cap เป็น 300,000 ล้าน ซึ่งยากมากถ้าไม่มี S-Curveใหม่ หรือพึ่งโชคตลาดเติบโตมากกว่าปกติ หรือ บริษัททำอะไรน่าทึ่งเป็นพิเศษ แต่ก็มีข้อดีที่สำคัญคือปลอดภัยแข็งแกร่งและมั่นคง
ในทางกลับกัน บริษัท C มีส่วนแบ่งตลาดแค่ 1% Market Cap อยู่ที่ 2,000 ล้าน ถ้าขยับขึ้นเป็น 2% จะเท่ากับ 4,000 ล้าน หรือตลาดเติบโตก็มีโอกาสโตมากกว่า (ถ้ามีจุดที่แข่งขันได้) — โต 100% ได้ง่ายกว่ามาก และใช้เงินน้อยกว่าด้วย
แน่นอนว่าการเติบโตมาพร้อมกับความเสี่ยง เช่น หากอุตสาหกรรมหดตัวหรือเศรษฐกิจไม่ดี บริษัทเล็กอาจโดนผลกระทบแรงกว่า เพราะฐานไม่มั่นคง ในขณะที่บริษัทใหญ่มีแรงต้านทานมากกว่า และราคาผันผวนน้อยกว่าและมั่นคงมากกว่า
กล่าวง่าย ๆ:
บริษัทใหญ่ = ผันผวนน้อยกว่า เสถียรมากกว่า
บริษัทเล็ก = ผันผวนมากกว่า แต่เติบโตง่ายกว่า (ถ้ามีจุดที่แข่งขันได้) โอกาสร่วงมากกว่า(ถ้าไม่ดีพอ หรือตลาดร่วงหนัก)
นี่เป็นเพียงความผันผวน ส่วนว่าจะเลือกลงทุนแบบไหน ต้องดูปัจจัยอื่นประกอบด้วย เช่น ความสามารถในการแข่งขัน ทีมผู้บริหาร โมเดลธุรกิจ ฯลฯ
สรุป:
การเติบโตของเม็ดเงินในระบบ การเติบโตของอุตสาหกรรม (ที่ทำผลงานได้ดีหรือเป็นอนาคต) จะส่งต่อถึงบริษัทในอุตสาหกรรมนั้น ดังนั้น หลักการใช้ Market Cap เป็นดวงตาแทนราคา เป็นตราชั่งเพื่อประเมินความเป็นไปได้ของ Market Cap ที่เป็นไปได้ในอนาคต หลักการนี้ ใช้ได้ทั้งหุ้น คริปโต และแม้แต่ธุรกิจส่วนตัว
คีย์หลัก:
การประเมินเติบโต คือ “บริษัทนี้มีศักยภาพในการกินส่วนแบ่งตลาดเท่าไหร่” และ “อุตสาหกรรมมีโอกาสโตแค่ไหน” จากนั้นจึงคำนวณว่ามูลค่าที่ควรจะเป็นในอนาคตคือเท่าไร — นี่คือในวิธีของการประเมินมูลค่าอย่างมีเหตุผล